Subscribe:

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการ mix กลอง + เบส




เทคนิคการ mix กลอง + เบส โดย Asuza
ไม่สามารถระบุ วันเวลาที่ท่านอาโพสต์ ได้ครับ..



Azusa Wrote:
นี่ผมสงสัยว่าคุณคงจบมาจากพวกโรงเรียนสอน mix ว่าต้อง ทำ bass & drum ก่อนแน่

ก่อนอื่นอย่าถือว่าเป็นศูตรนะครับ เดี่ยวเสียงออกมาเหมือนกันหมด

เมื่อจะเข้า mix แล้วคงไม่ต้องพูดถึงวิธีอัดนะ เพราะกลองนี่ต้อง tune ก่อนอัด
หากไม่ได้ tune ก่อนเอามาทำทีหลังเสียงอาจดีหรือไม่ดีไม่รับประกัน

เริ่มด้วยตั้ง level ก่อน ทุกอันไม่ควรตั้งเกิน 0 dB หากเสียงอันใหนต้องตั้งให้เกินนั้น ควรจะลดอันอื่นลง
พวกเสียงกลองนี่ทั้งหมดจะหมายถึง peak เพราะเสียงมันสั้นมาก จะดูจาก RMS ไม่ทัน
bass drum = 0 dB , pan เที่ยงตรง
snare = -2 dB pan ส่วนมากจะเหลื่อมจากตรงกลางมานิด เพื่อจะหลบเสียงร้อง
hi hat = - 20 ถึง-25 dB ตามแต่ชอบ , pan 10 โมง หรือ บ่าย 2 เลือกเอาว่าจะให้มือกลองถนัดซ้ายหรือขว
crash = -25 dB เมื่อก่อนนิยม pan ซ้ายขวาสุด แต่เดี๋ยวนี้ อยู่ไกล้ hi hat
tom = -6 จนถึง -3 อันนี้ส่วนมากยังชอบ pan กันแบบสุด ซ้ายไปขวา หรือ กลับกัน
พวก percussion อันอื่น -20 ถึง -25 ส่วนมากจะ pan ออกไปข้างๆเพื่อหลบเสียงอื่น
Bass = -10 dB

นี่คือ level ที่ตั้งเริ่มต้นนะครับ จากนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลง นิดหน่อย หลังจากเอาเสียงอื่นเข้ามา
จบท่อน 1

------------------------------

ภาค2 :
ตอนนี้มาถึงเริ่มยากขึ้น หลังจากตั้ง level ได้ที่แล้ว ต้องฟังก่อน ว่าจะใส่อะไรเข้าไป
อย่าเพิ่งใส่อะไรเข้าไปจนกว่าจะจำเป็น

เราจะรู้ได้ยังไงว่าจำเป็น?
หากไม่แน่ใจ ต้องหาเพลงที่เขาทำไว้แล้วฟังเทียบดู ส่วนมากจะเป็น compressor หรือ EQ

ใส่อะไรก่อน?
จะไปรู้เรอะ ตัวใครตัวมัน
หากเป็นผมคงใส่ compressor ก่อน เหตุผลคือหากเราใส่ EQ ไปก่อน เราจะไปเพิ่ม level ของเสียงอันนั้น
และนิสัยของทุกคนคือหากขาดอะไร จะเพิ่มอันนั้น แต่มันกลับกันกับเรื่องเสียง (อันนี้เอาไว้ก่อน อธิบายทีหลัง)

หากเราไปเพิ่ม level ของเสียงอันนั้น compressor จะเข้ามาทำงาน เพราะหน้าที่ของมันคือลดเสียงอันนั้น
เช่นหากเราไปเพิ่ม EQ สำหรับ bass ที่ 100 Hz ไอ้ตัว compressor นี่มันจะเริ่มทำงานทุกครั้งที่ threshold เกินขึ้น
ในเมื่อ level ตรง 100 Hz เพิ่มขึ้น compressor จะไปลด freq. ส่วนอื่นไปด้วย เสียงก็เลยยิ่งแย่ไปการใหญ่

หากจะใส่ EQ ตอนนี้ควรจะเป็น high pass ตรง 50 Hz (freq. ที่ต่ำกว่านี้หากไม่มี monitor ใหญ่ๆ แบบห้องอัดเสียงเราจะ
ไม่ได้ยินชัดหรือไม่ได้ยินเลย)

แล้วอย่างงี้ใส่ multiband compressor หลังจาก EQ ก็ไม่เป็นไรแล้วสิ
อืมน่าคิดนะ ดูจากรูปข้างล่างนี้แล้วคงจะเข้าใจ ต่อภาค 3

-----------------------------------

ภาค 3:

ขอโทษทีไปอ่านตรงหัวข้อถามเรื่อง mix แบบคร่าวๆ เลยฝอยเพลิน
นี่แสดงว่าอยากได้ตัวเลข เอาเลยครับ "Mix by numbers"

ปกติแล้ว bass ต้องใช้ compressor เข้าไปคุมให้อยู่กับที่ แต่ส่วนมากคนที่นี่จะใช้ sample กัน
พวก sample ก่อนออกมาขายจะ compress และ EQ มาเรียบร้อย ที่เหลือสำหรับเราจะทำคือ ทำให้เสียงมันออกไกล้ analog มากที่สุด อาจ
เติมพวก tube stimulator หรือ distortion เข้าไป
หากต้องการให้เสียงแน่นขึ้นอีก ตั้ง ratio อย่าเกิน 3:1
แล้วตั้ง output gain ให้เท่ากับ gain reduction ที่ถูกลดลง แล้วลองฟังดูครับ

ตอนนี้ที่กำลังติดใจมากที่สุดคือ Camel Phat ซึ่งนอกจากจะใช้เป็น compressor แล้วยังมี distortion อยู่ในตัวเดียวกัน
พวก Heavy Metal ทั้งหลายแน่นอนว่าใส่ distortion ในเสียง bass

กลองก็เช่นกัน bass drum, snare, toms ... ใช้ compressor หมดยกเว้น crash กับ ride จะใช้ limiter แทน
เพราะหาก compress อันนี้แล้วเสียงมันจะออกไม่ธรรมชาติเลย
EQ..
Q-1 = 1 1/3 octave, Q-1.4 = 1 octave

• 50Hz Q=1.4
-เพิ่มให้เสียงมันเต็ม<->ลดหากมันมากเกินไป ใช้กับ bass drum, tom, bass

• 100Hz Q= 1-1.4
-เพิ่มหากต้องการเสียง bass แบบอัดๆ (อธิบายไม่ถูก)

• 200Hz Q = 1.4
-เพิ่มหากต้องการเสียง snare เต็มๆ ให้เสียงออกตั้กๆ
-ตัดออกตรงใช้กับ crash, ride เพื่อเอาเสียงก๊องๆออก (เสียงไม้ตีกระทบฉาบ)

• 400Hz Q = 1-1.4
-เพิ่มเมื่อต้องการให้ได้ยิน bass ชัดขึ้น
(เคยอ่านเจอจากมือ bass ที่มีชื่อเสียงมากคนนึง เขาบอกว่าต้องเป็น 368 Hz; ไม่รู้ว่าเขาเอาตัวเลขมายังไง เพราะ F#4 = 369.994
Hz. )
-ลดลงหากเสียง bass drum หรือ tom เสียงเหมือนตอนทุบกล่องกระดาษ
-ลดลงหากดเสียงฉาบทั้งหลายก้องเกินไป
*ระหว่าง 350-400 Hz นี่สำคัญมากสำหรับ bass และ bass drum หากต้วใหนเพิ่มอีกตัวควรลด*

• 800Hz Q = 1.4
-เพิ่มเมื่อต้องการให้เสียง bass มีลักษณะเพิ่มขึ้น

• 1.5KHz Q = 1.4
-เพิ่มหากต้องการเสียง pick หรือนิ้วกระทบสาย bass (คนที่ใช้ Triology มีอันนี้ด้วย)

• 2.5 - 3KHz Q = 1.4
-อันนี้เพิ่มเสียงกระเดื่องให้มันออกต๊อกๆ

• 3KHz
-หากยังกระทบของ bass ไม่พอเพิ่มอีก octave ตรงนี้ (1.5 x 2 ) Q =1.4
-เพิ่มเสียงกระแทกให้ snare Q =1.4 - 2.8.

• 5KHz Q = 1.4
-หากต้องการเสียงนิ้วกระทบสายมากขึ้นอีกเพิ่มอันนี้ แต่ส่วนมากจะใช้กับ acoustic bass ในเพลง jazz

• 7KHz Q = 1.4-2.8
-เมื่อไรก็ตามหากต้องการเสียงโลหะ กริ๊งๆ (ฉาบหรือส่วนอื่น) เยอะขึ้นหรือน้อยลงเพิ่มหรือลดอันนี้

• 10KHz Q = 1.4
-เพิ่มหรือลดเสียงแสบๆของฉาบ

• 15KHz Q = 1.4
-เพิ่มหรือลดเสียงแสบๆของฉาบ

เสียงอันใหนที่ตัด low freq. ได้ก็ใช้ High pass (Low cut) ตัดมันออกซะเพื่อที่เสียงรวมๆจะใสมากขึ้น เริ่มจากต่ำไปสูง
หากไม่แน่ใจว่าตรงใหนก็ใช้ sweep เอา

ว่าจะเขียนให้จบ หมดเวลาแล้วครับ ต่อตอนใหม่แล้วกัน
อย่าลืมนะว่าพวก sample ทั้งหลายก่อนจะออกมาขาย compress และ EQ มาเรียบร้อยแล้ว

------------------------

ภาค4 : FX ต่างๆ

ก่อนอื่นต้องบอกเช่นเคยว่า ฟังดูก่อนว่า ต้องใส่ไปหรือไม่ หรือต้องการใส่
ไม่ใช่ว่าสามารถใส่เข้าไปได้ก็ใส่มันทุกอัน
และไม่ขอกล่าวถึง hardware เพราะดูเหมือนว่าแถวนี้จะมี software กันมาก และมีเยอะกว่าผมอีก
Plug in มีหลายยี่ห้อที่ทำงานเหมือนกัน หากไม่ได้เอ่ยชื่อไม่ได้แสดงว่าไม่ดี เพียงแต่ว่าไม่มี และไม่เคยใช้

Reverb:
• ส่วนมากแล้วทุกอันจะใส่ reverb หมดยกเว้น bass และ bass drum (อันนี้อาจใส่เข้าบ้างแต่นิดเดียวจริงๆ หรือหากอยากใส่เข้าไปก็
เอาเลยครับ)

• ชนิดของ reverb ส่วนมากจะเป็นแค่ room หรือearly reflection ยกเว้น snare

• snare นี่ส่วนมากจะแยกออกมาต่างหากเลย อาจใช้ hall reverb + gate เพื่อให้เสียงใหญ่มโหราน (เมื่อก่อนทุกเพลงใช้ เดี่ยวนี้
น้อยลง)
บาง plug in อาจมี preset อันนี้ที่เรียกว่า reverb gate หรือ gate reverb ใช้กันมาก
-อันนี้ต้องยกให้ Phil Collin เขาเป็นคนคิดขึ้นมา ฟังจาก "In the Air" จะเห็นได้ชัดมาก
วิธีทำคือใช้ hall reverb แล้วเปิดให้เต็มที่ เลือกเอาที่มันมีหาง reverb (reverb tail, decay หรือชื่อคล้ายกัน)
หลังจากนั้นส่งเข้าไปที่ gate แล้วเลือกวิธีต่างๆตามแต่จะมี สั่งให้มันเปิดปิด ให้เข้ากับ tempo
วิธีเปิดปิดของ gate จะใช้ตั้ง level, time คือเมื่อเราตั้งไว้อย่างนี้ เสียงอันกังวาลจะถูกตัดทันที (ใน Reason ใช้ตั้ง CV ให้มาเป็นตัว
คุมได้สบายมาก)
ส่วนมากจะให้ gate ปิดตรงจังหวะถัดมา เพื่อจะได้ไม่ไปกลบเสียงอันอื่น
-แต่หากไม่ต้องการใช้ gate reverb ก็ใช้อันใหนก็ได้ที่ฟังแล้วมันเข้าบรรยากาศของเพลง

• ใน reverb จะเห็นมี diffuser ใส่มันเข้าไปอย่างน้อย 50% (ฟังเอาครับ) เหมาะกับเสียงกลองทั้งชุด เพราะทำให้เสียงกระจายเต็มห้อง

Reverb ของกลองส่วนมากจะสั้นๆ ยกเว้นบางครั้งที่ snare ที่กล่าวมา หากไม่รู้จะใช้อันใหนก็เลือกฟังจาก preset ครับ
เพราะเรื่อง reverb นี่ต้องอธิบายกันยาวเหยียดมาก หลายคำที่ยังไม่รู้ว่าจะแปลเป็นไทยยังไง
100% wet หมายถึงเสียง reverb อย่างเดียว ส่วนมากจะใช้แค่ไม่เกิน 25 %

Auto pan - เห็นหลายคนใช้กับ hihat ตั้งให้มันเลื่อนไปมาระหว่างซ้ายขวาอย่าให้เร็วนะ ให้เหมือนมันลอยไปช้าๆ หรือเปลี่ยน ตำแหน่งไปทุก
จังหวะ (เพลงของ madonna มีหลายอันที่ใช้อันนี้)

Phaser, chorus, flange- เห็นหลายคนใช้กับฉาบ โดยเฉพาะ phaser , chorus แตะเบาๆจะทำให้เสียงกว้างขึ้น, flange ใช้กับเสียง
hi hat
อีกอันคือ reverse crash อันนี้เอาเสียง reverb tail แล้วเอามากลับกัน ตั้งเสียงเริ่มก่อนจังหวะ ตรงท้ายลงจังหวะพอดี

Max bass, Renaissence bass- อันนี้ใช้สำหรับเพิ่ม harmonic ให้กับ bass ช่วยให้ได้ยินเสียง bass ชัดขึ้นเวลาฟังจากลำโพงเล็ก
(เวลาใช้ควรฟังรวมกับเสียงอื่น หากใช้ solo เวลาไปรวมกับอย่างอื่นแล้วมันจะกลบเสียงอื่น ระวังให้ดี)
บางครั้งใช้นิดๆช่วยเสียง bass ได้มาก

หากต้องการเสียง bass ทีลงไปต่ำลึกๆ มีพวก bass synthesizer ที่เป็น hardware หลายอัน พวกนี้จะเพิ่มตัวโน๊ตของ bass หรือ bass
drum ลงไปอีก octave
อัน VST แบบฟรีเห็นมีหลายอันที่เคยใช้คือ Empire ระวัง [woofer จะพัง

Renaissence Vox- อันนี้เขาทำมาใช้เป็น compressor สำหรับเสียงร้อง แต่ใช้กับ bass, bass drum, snare, hihat ได้ดีมาก
เพราะเสียงดี, ใช้ง่าย, และไม่ pump มาก (อันนี้ลืม -มันตกออกมาจากภาค 2 )

De-esser- ปกติอันนี้จะใช้คุมเสียง "S" "Z" "T" (เพลงไทยส่วนมากไม่ต้องใช้)
อันนี้เจอโดยบังเอิญ คือเคยมีปัญหาเรื่องพยายามคุมเสียง hi hat ไม่ให้เสียงไปทับ track อื่น และคุม freq. ด้วยไปในตัว
หาไปหามาก็ลองอันนี้เข้าเลยติดใจ จากนั้นก็ใช้มาเรื่อย ยิ่งหากว่าคุณสามารถใช้ automation control จาก sequencer ที่ใช้จะเยี่ยมมาก
เพราะสามารถเปลี่ยน parameter ได้ทั้งเพลง ทำให้เสียงเหมือนธรรมชาติมาก

Time delay ระหว่าง track - อันนี้ใช้กันมากครับ โดยเฉพาะทำให้เสียงมันเข้า groove กัน

หลังจากได้เสียงกลองมาทั้งหมด หากเสียงมันแน่นกันมากเกินไปก็ใช้พวก freq. spreader เช่น BBE (หลายคนไม่กล้าบอกว่าใช้ ไม่รู้ทำไม)

จบแล้วครับ เพราะตอนนี้นึกได้แค่นี้ หลายอย่างก็ยืมเขามา หลายอย่างก็จากที่เคยทำ
หากผิดตกตรงใหนก็ช่วยแก้ด้วย

อย่าลืมว่า หากเสียงมันดีอยู่แล้วอย่าไปแตะมัน เพลงสมัยก่อนไม่ได้ใช้อะไรมากเลย และหลังจากนั้นต้องเอาไปเทียบกับส่วนอื่นของเพลง แต่งให้เข้ากัน
อันใหนหลบกันได้ก็หลบ ข้อสำคัญคือพยายามทำให้เสียงออกมาชัด ถูกใจคุณ และอย่าลืมว่าเพลงทั่วไปเสียงร้องมาก่อน อย่างอื่นต้องหลบทางให้
--------------------------------------------
ลืมอีกอย่าง Pitch shift ครับ ใช้กับหลายกลองและ hi hat

BBE มันแยก freq. ของเสียงออกเป็นส่วนๆแล้วใส่ delay เข้าไปนิดๆ (เท่าไหร่ไม่รู้เหมือนกัน)
เริ่มจาก Low freq. -> High freq. คือเนื่?องจากเวลาฟังดนตรีจากสด เสียงต่ำมันจะมาหาคนฟังช้ากว่าเสียงสูง
มันเลยใช้อันนี้ขึ้นมาเลียนแบบธรรมชาติ ผลที่ออกมาคือฟังแล้วรู้สึกว่าเสียงมีลึกมีตื้น
บางครั้งที่เรา mix ไม่ดี ฟังดูแล้วเหมือนเสียงไปอยู่กระจุกเดียวกันหมด อุดอู้ มันขยายออกทำให้ฟังชัดขึ้น 

NI มี SPEKTRAL DELAY อันนี้ก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่เพิ่มขึ้นไปอีก
โดยเอา แถบของ freq. ที่มันตัดมาแต่ละท่อน จับมันมา delay แลัวเอากลับมาทำอย่างอื่น
เช่น feedback เข้ามาทำ vocoder, sync ให้เข้า tempo, flange .....ทำให้กลายเป็นอีกเสียงและอีกหลายอย่าง
น่าเสียดายที่ bug เยอะน่าดู ใช้กำลังสนุกๆ freeze หลายครั้งมากเลยต้องเลิก คงยังต้องรออีกสักพัก

ปัญหาคือเมื่อ มิกส์ งานออกมาแล้ว ซาวด์รวมไม่สว่าง
ไม่แจ่มใสชัดเจน

อันนี้ส่วนมากมาจาก freq. ของเครื่องแต่ละชิ้นมันทับกัน (masking), balance เสียง และ pan ครับ

เวลา mix ก็ใส่พวก low pass หรือ high pass filters เข้าไปในบาง track
เสียงอันใหนที่ไม่ต้องการก็ตัดมันออก เช่นพวก cymbal คงไม่ต้องการ low freq. มากนัก

หรือเพิ่ม+ตัด Eq ในเสียงที่ไกล้เคียงกัน เช่นระหว่าง bass-bass drum
อันใหนเพิ่มอีกอันควรตัด

อีกย่างก็ควรจัดการเรื่อง pan เพื่อให้เสียงมันทับกันน้อยลง
หาก pan มากไม่ได้ในกรณี bass-bass drum ก็ใช้ Eq แบบเพิ่มหรือตัด

แต่หากไม่อยากเริ่มไป mix ใหม่ตั้งแต่ต้น ลองใช้ BBE ดูสิครับ บางทีมันก็ช่วยได้
มัน delay พวก lower freq. ทำให้เสียงฟังแล้วชัดขึ้น


ขอบคุณบทความ http://www.guitarthai.com