Expander สำหรับงาน live sound มีไว้ลดเสียงเบาๆ ให้มันเบาลงไปอีกครับ
ถ้ารู้จัก Gate ก็จะเข้าใจได้ง่ายๆ เลยครับ
Gate นี่ จะทำหน้าที่เหมือนมือวิเศษครับ
มันจะเปิดเสียงให้ผ่านมัน เมื่อเสียงดังกว่าที่เราตั้งค่าเอาไว้(เรียกว่า Threshold)
เอาไว้สำหรับตัดเสียง noise ออกเวลาที่ไม่มีสัญญาณเสียงเข้ามาครับ
อย่างเช่น tom ที่นานๆ จะตีซักครั้งนึง ตอนที่ยังไม่ได้ตี มันจะมีเสียงรบกวนจากกลองใบอื่นๆ อยู่ พอเราใส่ Gate ลงไป
ก็จะทำให้เสียงรบกวนมันหายไป พอตี tom ใบนั้นปุ๊ป เสียงจะผ่านออกมาปั๊บ ประมาณนั้นครับ
Expander ก็คล้ายๆ กันครับ แต่จะไม่เหมือนตรงที่ Gate จะทำงานลักษณะแบบกดปุ่ม เปิด กับปิด ให้เสียงผ่านไปหรือไม่
ทันทีทันใด และเป็นการ "เปิด" กับ "ปิด" แบบสมบูรณ์
แต่ Expander จะเหมือนกับเรากำลังแตะ Fader อยู่ พอได้ยินเสียงก็เลื่อน Fader มาที่ 0dB
แต่พอเสียงมันเบาลงกว่า Threshold มือที่แตะ Fader อยู่ก็ลด Fader ลงมาตามเสียงที่เบาลงเป็นสัดส่วนกันกับเสียงที่
เบาลง(เรียกว่าค่าสัดส่วนนี้ว่า Ratio)
พอจะนึกภาพออกไหมครับ อย่างเช่นถ้า Ratio เป็น 1:2 ก็จะหมายถึงว่า
ถ้าสัญญาณต่ำกว่า Threshold ลงมา 5 dB สัญญาณที่ออกไปจาก Expander จะถูกลดลงมาอีกเท่านึง
กลายเป็นสัญญาณขาออกจริงๆ จะลดลงไป 10 dB ลองนึกตามดูครับ
ยังมีค่า parameter อย่างอื่นอีก ซึ่งเหมือนกัน สำหรับ expander และ gate
คือ attack time กับ release time ครับ
attack time คือค่าเวลาที่พอเสียงมันเกิน threshold แล้ว effect จะเปิดเสียงเลยหรือไม่ ถ้า attack time เร็ว มันก็จะเปิดให้เสียงผ่านไปเร็วครับ
release time คือค่าเวลาที่มันจะกดเสียงลงมาเมื่อสัญญาณเสียงต่ำกว่าค่า threshold ครับ
ถ้าเร็วไปหางเสียงมันจะห้วนๆ ครับ และบางทีจะได้ยินเสียงคล้ายๆ distortion ออกมาด้วยครับ
ถ้าใช้กับพวกเสียงความถี่ต่ำๆ gain reduction มันวิ่งไปตามรูป waveform ของ low frequency
ก็จะได้ยินเสียงสั่นๆ แตกๆ เลยครับ
เวลาปรับใช้งานก็คือปรับให้มันเปิดเมื่อมีการ perform จริงๆ ครับ ไม่ใช่มันเปิดอยู่ตลอดเวลา
หรือปิดตลอดเวลา พอเสียงมาแล้วก็ยังปิดอยู่ เสียงมันก็ไม่ออก...ยังงี้ก็ไม่ถูกครับ
ปรับค่า attack กับ release ให้เหมาะกับเสียงเครื่องดนตรีเครื่องนั้นครับ อย่างถ้าใช้กับ tom ก็อาจจะต้องปรับ attack
ให้เร็วมากๆ หน่อย เพื่อที่จะไม่สูญเสียงหัวเสียง แล้วก็ปรับ release ให้ gain reduction มันลงมา
หลังจากที่หางเสียงมันลดลงมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเสียงยังอยู่เลยแต่เริ่มกดแล้ว ยังงี้เกิด distortion แน่นอน และหางเสียงก็กุดด้วย
จริงๆ แต่ละยี่ห้อ ก็มีคาแรคเตอร์ต่างๆ กันไปอีกครับ บางตัวก็มีให้ปรับ hold time ได้อีกครับ แต่น่าจะพอเดาๆ ได้นะครับว่าเอาไว้ทำอะไร
ถ้าจะเปรียบเทียบ Gate จะเหมือนมือมากดสวิทซ์เปิด-ปิด พอไม่ได้ยินสัญญาณ (หรือจะพูดว่าต่ำว่า threshold น่าจะถูกต้องกว่า) ก็ปิดไปเลย พอสัญญาณมา ก็เิปิด...
แต่ Expander เหมือนมือ มาลด Fader ลงเมื่อสัญญาณต่ำกว่า threshold ซึ่งเป็นไปตามสัดส่วนที่เรากำหนดไว้
ถ้ารู้จัก Gate ก็จะเข้าใจได้ง่ายๆ เลยครับ
Gate นี่ จะทำหน้าที่เหมือนมือวิเศษครับ
มันจะเปิดเสียงให้ผ่านมัน เมื่อเสียงดังกว่าที่เราตั้งค่าเอาไว้(เรียกว่า Threshold)
เอาไว้สำหรับตัดเสียง noise ออกเวลาที่ไม่มีสัญญาณเสียงเข้ามาครับ
อย่างเช่น tom ที่นานๆ จะตีซักครั้งนึง ตอนที่ยังไม่ได้ตี มันจะมีเสียงรบกวนจากกลองใบอื่นๆ อยู่ พอเราใส่ Gate ลงไป
ก็จะทำให้เสียงรบกวนมันหายไป พอตี tom ใบนั้นปุ๊ป เสียงจะผ่านออกมาปั๊บ ประมาณนั้นครับ
Expander ก็คล้ายๆ กันครับ แต่จะไม่เหมือนตรงที่ Gate จะทำงานลักษณะแบบกดปุ่ม เปิด กับปิด ให้เสียงผ่านไปหรือไม่
ทันทีทันใด และเป็นการ "เปิด" กับ "ปิด" แบบสมบูรณ์
แต่ Expander จะเหมือนกับเรากำลังแตะ Fader อยู่ พอได้ยินเสียงก็เลื่อน Fader มาที่ 0dB
แต่พอเสียงมันเบาลงกว่า Threshold มือที่แตะ Fader อยู่ก็ลด Fader ลงมาตามเสียงที่เบาลงเป็นสัดส่วนกันกับเสียงที่
เบาลง(เรียกว่าค่าสัดส่วนนี้ว่า Ratio)
พอจะนึกภาพออกไหมครับ อย่างเช่นถ้า Ratio เป็น 1:2 ก็จะหมายถึงว่า
ถ้าสัญญาณต่ำกว่า Threshold ลงมา 5 dB สัญญาณที่ออกไปจาก Expander จะถูกลดลงมาอีกเท่านึง
กลายเป็นสัญญาณขาออกจริงๆ จะลดลงไป 10 dB ลองนึกตามดูครับ
ยังมีค่า parameter อย่างอื่นอีก ซึ่งเหมือนกัน สำหรับ expander และ gate
คือ attack time กับ release time ครับ
attack time คือค่าเวลาที่พอเสียงมันเกิน threshold แล้ว effect จะเปิดเสียงเลยหรือไม่ ถ้า attack time เร็ว มันก็จะเปิดให้เสียงผ่านไปเร็วครับ
release time คือค่าเวลาที่มันจะกดเสียงลงมาเมื่อสัญญาณเสียงต่ำกว่าค่า threshold ครับ
ถ้าเร็วไปหางเสียงมันจะห้วนๆ ครับ และบางทีจะได้ยินเสียงคล้ายๆ distortion ออกมาด้วยครับ
ถ้าใช้กับพวกเสียงความถี่ต่ำๆ gain reduction มันวิ่งไปตามรูป waveform ของ low frequency
ก็จะได้ยินเสียงสั่นๆ แตกๆ เลยครับ
เวลาปรับใช้งานก็คือปรับให้มันเปิดเมื่อมีการ perform จริงๆ ครับ ไม่ใช่มันเปิดอยู่ตลอดเวลา
หรือปิดตลอดเวลา พอเสียงมาแล้วก็ยังปิดอยู่ เสียงมันก็ไม่ออก...ยังงี้ก็ไม่ถูกครับ
ปรับค่า attack กับ release ให้เหมาะกับเสียงเครื่องดนตรีเครื่องนั้นครับ อย่างถ้าใช้กับ tom ก็อาจจะต้องปรับ attack
ให้เร็วมากๆ หน่อย เพื่อที่จะไม่สูญเสียงหัวเสียง แล้วก็ปรับ release ให้ gain reduction มันลงมา
หลังจากที่หางเสียงมันลดลงมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเสียงยังอยู่เลยแต่เริ่มกดแล้ว ยังงี้เกิด distortion แน่นอน และหางเสียงก็กุดด้วย
จริงๆ แต่ละยี่ห้อ ก็มีคาแรคเตอร์ต่างๆ กันไปอีกครับ บางตัวก็มีให้ปรับ hold time ได้อีกครับ แต่น่าจะพอเดาๆ ได้นะครับว่าเอาไว้ทำอะไร
ถ้าจะเปรียบเทียบ Gate จะเหมือนมือมากดสวิทซ์เปิด-ปิด พอไม่ได้ยินสัญญาณ (หรือจะพูดว่าต่ำว่า threshold น่าจะถูกต้องกว่า) ก็ปิดไปเลย พอสัญญาณมา ก็เิปิด...
แต่ Expander เหมือนมือ มาลด Fader ลงเมื่อสัญญาณต่ำกว่า threshold ซึ่งเป็นไปตามสัดส่วนที่เรากำหนดไว้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น